Monday, January 12, 2009

เสียเจ้า

๑. เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า ซบหน้าติดดินกินทราย ๚

๒. จะเจ็บจำไปถึงปรโลก ฤารายโศกรู้ร้างจสงหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ ๚

๓. ถ้าเจ้าอุบัติบนสวรรค์ ข้าขอลงโลกันตร์หม่นไหม้
สูเป็นไฟเราเป็นไม้ ให้ทำลายสิ้นถึงวิญญาณ ๚

๔. แม้แต่ธุลีมิอาลัย ลืมเจ้าไซร้ชั่วกัลปาวสาน
ถ้าชาติไหนเกิดไปพบพาน จะทรมานควักทิ้งทั้งแก้วตา ๚

๕. ตายไปอยู่ใต้รองเท้า ให้เจ้าเหยียบเล่นเหมือนเส้นหญ้า
เพื่อจดจำพิษช้ำนานา ไปชั่วฟ้าชั่วดินดิ้นเอย ๚



โดย อังคาร กัลยาณพงศ์

เสียเจ้าเป็นกลอนที่เกี่ยวกับความรักที่ชายคนหนึ่งที่มีต่อผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ความเกลียดชังเป็นสิ่งที่พรากทั้งสองจากกันถึงแม้ว่าเขาจะรักเธอมาก แต่เขาก็เกลียดเธอมากเช้นกัน ผู้อ่าจะได้รู้สึกถึงความแค้นและความเจ็บปวดที่เธได้ให้แก่เขา ในความที่ว่าเขาเบมากแต่ก็รักเธอมากเช่นเดียวกัน เห็นได้จากการที่เขานั้นได้กล่าวว่าเขาจะตามเธอไปลงนรกหมกไหม้

กวีได้ใช้ความขัดแย้งเป็นตัวสื่อชักนำความรู้สึก เพราะว่าเหมือนกับคำที่พูดกันว่า รักมากก็เจ็บมาก การที่ชายคนนั้นรักผู้หญิงคนนั้นมาก เมื่อโกรธกันก็ย่อมที่จะเจ็บปวดมากเช่นกัน “๑. เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง มุ่งปรารถนาอะไรในหล้ามิหวังกระทั่งฟากฟ้า ซบหน้าติดดินกินทราย ๚” เล่าถึงความเจ็บปวดที่รุมเร้าอยู่ภายใน ที่ได้ทำให้เขานั้นรู่สึกเจ็บปวดเหมือนกับถูกเหยียบย่ำและถูกบังคับให้กินทราย

Sunday, January 4, 2009

คำมั่นสัญญา


โดย สุนทร (ภู่) เรื่องพระอภัยมณี
ขับร้องโดย เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร
ขอพบพานพิสวาทมิคลาดคลา
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมปทุมทอง
แม้เป็นถ้ำอำไพขอให้พี่
เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่สอง
ขอติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป
กลอนคำมั่นสัญญานั้นเขียนโดยสุนทรภู่จากเรื่องพระอภัยมณี เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักที่พระอภัยมณีมีให้แก่ภรรยาซึ่งคือนางผีเสื้อสมุทร สุนทรภู่ได้วาดภาพให้ผู้อ่านนรั้นได้เห็นภาพความรักของทั้งสอง โดยเฉพาะความรักที่พระอภัยมณีนั้นมีต่อนางผีเสื้อสมุทร ภาพที่กวีได้แต่งขึ้น ผู้อ่านสามารถเห็นได้อย่างชัดมากเลยทีเดียว เป็นไปได้ว่าผู้อ่านนั้นจะเห็นภาพทั้งสองอยู่บนเตียง

กวีได้ใช้อติพจน์ (hyperbole) ในการอธิบายความรักที่เขานั้นมีต่อเธอ โดยการพูดว่า “ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน แม้เกิดในใต้ฟ้าสะธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลาน” เหตุที่ส่วนดังกล่าวเป็นอติพจน์นั้นเป็นเพราะว่า แน่นแนอยู่แล้วไม่มีใครสามารถรักใครอย่างนั้น ถ้ามองในความจริง แต่ความรู้สึกของความรักนั้นยิ่งใหญ่และลึกซึ้งได้ ซึ่งผู้อ่านนั้นจะได้รู้สึกถึงความรักที่ลึกซึ้งขแงทั้งสอง

คิดถึงบ้าน


ศิลปิน จรัล มโนเพ็ชร

มองดูดวงดาวก็คงเป็นดาวดวงเดียวกัน
มองดูดวงจันทร์ก็เหมือนกับจันทร์ที่บ้านเรา
ยามที่ฉันเหงา คิดถึงบ้าน
มองดูท้องฟ้าก็ยังเป็นฟ้าพื้้นเดียวกัน
มองดูดวงตะวันก็ยังส่องแสงไปบ้านฉัน
ยามฟ้ามืดครึ้ม คิดถึงบ้าน

อยู่ในเมืองกรุงก็คงวุ่นวายและวกวน
มีแต่ผู้คนเหมือนกับคนที่ไม่รู้จักกัน
ชีวิตผกผัน คิดถึงบ้าน
มองไปทางใดก็มีแต่ตึกสูงสวยงาม
แต่ใจคนไม่งามเหมือนกับคนที่บ้านเรา
ยามนี้ฉันเหงา คิดถึงบ้าน

อยู่ในเมืองกรุงก็วุ่นวายและวกวน
มีแต่ผู้คนก็เหมือนกับคนไม่รู้จักกัน
ชีวิตผกผัน คิดถึงบ้าน
มองไปทางใดก็มีแต่ตึกสูงสวยงาม
แต่ใจคนไม่งามเหมือนกับคนที่บ้านเรา
ยามที่ฉันเหงา คิดถึงบ้าน
คิดถึงบ้านเป็นบทเพลงที่กวีนั้นพูดถึงความวุ่นวายที่ผู้คนเพชิญอยู่ด้วยกันในเมือง ถึงแม้ว่าผู้คนในเมืองนั้นอาจจะมีมากมายแต่ทว่า ไม่มีใครรู้จักกันหรือว่าเป็นมิตรกันโดยใดๆ ทำให้ผู้คนที่ได้เข้าเมืองจากภายนแกนั้นรู้สึกวกวนและหลงทาง เพราะทุกคนต่างใช้ชีวิตของตนเองโดยทั้งนั้น ไม่สนใจใยดีผู้อื่นเลย

ผู้แต่งได้ใช้การซ้ำในวรรคแรก

มองดูดวงดาวก็คงเป็นดาวดวงเดียวกัน
มองดูดวงจันทร์ก็เหมือนกับจันทร์ที่บ้านเรา
ยามที่ฉันเหงา คิดถึงบ้าน
มองดูท้องฟ้าก็ยังเป็นฟ้าพื้้นเดียวกัน
มองดูดวงตะวันก็ยังส่องแสงไปบ้านฉัน
ยามฟ้ามืดครึ้ม คิดถึงบ้าน
เพราะโดยการใช้คำว่า มอง และ ยาม เพราะว่า ผู้พูดนั้นคิดถึงบ้าน สิ่งที่ทำได้เมื่ออยู่ในเมืองยามคิดถึงบ้านนนั้นก็เพียงแค่มองดูดวงจันทร์ เพราะว่ายามที่คิดถึงบ้านตอนที่อยู่ในเมืองใหญ่นั้นก็มีเพียงแค่พระจันทร์ที่เป็นสิ่งเดิมที่เห็นเวลาอยู่บ้าน

ผู้อ่านนั้นจะได้รู้สึกถึงความว้าเหว่ของกวีที่คิดถึงบ้านที่ต้องอยู่ในเมืองใหญ่เพื่องานที่ดีกว่าซึ่งส่งต่อไปถึงเงินเดือนที่ดีกว่าแต่ในใจก็เศร้าเพราะว่าคิดถึงบ้านที่ทุกคนรู้จักกันแล้วอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น

พระจันทร์สีน้ำเงิน


ศิลปิน เติ้ล- ตะวัน จารุจินดา

* ฟ้า ก็ฟ้าเดียวกัน แต่จันทร์ดูคล้ายลำเอียง
ส่งแสงลงมาเพียงเสี้ยว ฉันคนเดียว ที่หมอกเมฆบัง
ไม่เคยเห็นพระจันทร์ที่เขาชม ไม่เคยสมใจสักครั้ง
ความรัก ที่เฝ้าใฝ่ฝัน คนห่วงใยฉัน ไม่มี ไม่มี

** ผิดที่่ฉัน... หรือจันทร์ลืมฉันจริงๆ ทิ้งหัวใจ ของคนที่มันอ้างว้าง
ไม่มีทาง ได้เจอความรักใช่ไหม... จันทร์
โปรดตอบฉัน พระจันทร์สีน้ำเงิน

(*, **)

โปรดฟังฉัน พระจันทร์สีน้ำเงิน
ได้ยินไหม พระจันทร์สีน้ำเงิน
ฮืม... พระจันทร์สีน้ำเงิน
เพลง พระจันทร์สีน้ำเงินนั้นเป็นเพลงที่ขับร้องโดย เติ้ล-ตะวัน จารุจินดา บทเพลงนี้เป็นเพลงประกอบละครเรื่อง น้ำพุ ซึ่งบทเพลงนั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาในมุมมองของ น้ำพุ ที่เป็นตัวนำเรื่อง ความเศร้าโศรกเสียใจ และความรู้สึกว้าเหว่ในจิตใจนั้นที่พ่อแม่เลิกรากันได้ส่งมาเป็นคำร้องในเนื้อเพลง ความรู้สึกที่เจ็บปวดและช้ำใจในชีวิตที่ไม่ยุติธรรมและเรื่องราวของน้ำพุได้ถูกถ่ายทอดมาเป็นบทเพลง พระจันทร์สีน้ำเงิน
ชื่อเพลง พระจันทร์สีน้ำเงิน ทำให้นึกถึงภาพพระจันทร์ที่ดูจะว้าเหว่ในคืนที่เงียบขรึม ผู้ฟังจะจินตนาการสถานการณ์ว่าเด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่คนเดียวมองดูพระเจ้าอย่างเดียวดาย ในขณะที่คิดย้อนเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นมาในชีวิต เนื้อเพลงสื่อสั้นๆที่จะเล่าถึงสิ่งต่างๆที่น้ำพุได้ผ่านมา โดยการย่อลงและสรุปว่าเป็นความไม่ยุติธรรม ผู้แต่งได้ใช้บุคลาธิษฐานกับพระจันทร์ลื้แงฟ้า โดยการเปรียบเทียบว่าท้องฟ้านั้นเปรียบเสมือนครอบครัว ในขณะที่พระจันทร์นั้นเป็นเหมือนกับแม่
น้ำพุได้กล่าวว่าทุกคนนั้นอยู่ในครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่ไฉนพระจันทร์ ซึ่งเป็นแม่ของตนนั้นถึงได้ลำเอียง เพราะว่าพระจันทร์นั้นได้ส่งแสงลงถึงน้ำพุเพียงเสี้ยวเดียวในขณะที่น้ำพุนั้นโดนหมอกและเมฆบังจากความรักของครอบครัว ผู้นำเรื่องคิดสื้อนถึงเหตุผลที่พระจันทร์ไม่ส่งแสงถึงเขา เพราะน้ำพุเป็นเหตุผลที่พ่อแม่เลิกรากัน เป็นความคิดและความเข้าใจของตัวน้ำพุเองเท่านั้น น้ำพุเข้าใจผิดจึงคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก ทำให้อารมณ์และความรู้สึกนั้นเศร้าเสียใจ

ฤดูที่แตกต่าง


ศิลปิน บอยด์ โกสิยะพงศ์

* อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความเแตกต่าง
เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้่าใจ ว่ามันคุ้มค่าค่ไหนที่เฝ้่ารอ
หากเปรียบเทียบกับชีวิตของคน เมื่อยามสุขล้นจนใจมันยั้งไม่อยู่
ก็คงเปรียบได้กับฤดู คงเป็นฤดูที่แสนสดใส

** (และ)ถ้าวันหนึ่งวันไหน ที่ใจเจ็บจนทุกข์ ดังพายุที่โหมเข้าใส่
บอกกันตัวเองเอาไว้ ความเจ็บต้องมีวันหาย ไม่ต่างอะไรที่เราต้องเจอทุกฤดู

(*)

เมื่อวันที่ต้องเจ็บช้ำใจ จากความผิดหวังจนใจมันรับไม่ทัน
เป็นธรรมดาที่เราต้องไหวหวั่น กันวันอะไรที่มันเปลี่ยนไป

(​**, *)

อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้่าย
น้ำตที่ไหลย่อมมีวันจางหาย หากไม่รู้จักเจ็บปวดก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ

(ซ้ำ *)
เพลงฤดุที่แตกต่างนั้นเป็นเพลงที่เกี่ยวกับชีวิต ที่ทุกคนนนั้นอาจจะมีมันที่ดีหรือว่าวันที่เลวร้าย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ยังต้องสู้ต่ออยู่ดี ผู้แต่งได้เขียนเนื้อร้องเพื่อชักนำให้ผู้คนคิดถึงชีวิตในแง่บวก เพื่อที่ทุกคนจะได้ก้าวต่อไปอย่างสำเร็จ เพราะว่าทุกคนนั้นก็จำต้องอดทนเพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จ

ผู้แต่งได้ใช่ฤดูเป็นตัวตั้งให้ผู้ฟังเข้าใจว่าชีวิตนั้นก้เปรียบดั่งฤดู อาจจะมีลมพายุเข้าใส่บ้าง แต่ถึงอย่างไรพระอาทิตย์ก็ยังต้องส่องแสงอยู่ดี

Monday, December 22, 2008

เพลงชาติไทย (ฉบับปัจจุบัน)


ทำนอง โดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
คำร้อง โดย พันเอก หลวงสารานุประพันธุ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์)


ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี

ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาตืพลี
เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย


Analysis
เพลงชาติไทยฉบับปัจจุบันนั้นเป็นเพลงชาติ รุ่นที่่สองของประเทศ ได้ถูกแต่งทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) และ คำร้องโดย พันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) เพลงนี้ได้ถูกประกาศใช้ขึ้นใน ปี พ.ศ. 2482

เพลงชาติไทยเป็นเพลงที่ทุกคนในประเทศรู้จักเพราะว่าเป็นเพลงที่ทุกคนนนั้นต้องเคารพทุกเช้าเย็น ผู้เขียนนั้นได้วาดภาพความแข็งแกร่งของประเทศและความที่ทุกคนนั้นผูกมิตรกันเป็นหนึ่งเดียว
ผู้แต่งได้ใช้เสียงในการบรรยายความแข่งแกร่งของประเทศว่าประเทศไทยนั้นเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีใครสามารถแยกเราจากกันได้ การที่ผู้แต่งได้ใช้ "มีชัย ชโย" ในตอนสุดท้ายนั้น ผู้แต่งยกความเป็นหนึ่งของประเทศขึ้น ทำให้นึกภาพถึงธงชาติไทยที่พูกยกถึงเสาธงและทุกคนก็ร้องชัยโย เพราะทุกคนรักประเทศไทย

เพลง